TÓM TẮT
- 1 ดินเปรี้ยว/ดินเค็ม เป็นอย่างไร เเก้ไขอย่างไร?
- 2 ความหมายของดินเค็ม
- 3 สมบัติและลักษณะของดินเค็ม
- 4 สาเหตุที่เกิดดินเค็ม
- 5 ผลกระทบของดินเค็มต่อพืชและการเกษตร
- 6 วิธีการจัดการดินเค็ม
- 7 การวัดและประเมินความเค็มของดิน
- 8 การปรับปรุงดินเค็มให้เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก
- 9 ดินเค็มเกิดจากอะไร
- 10 ดินเค็ม วิธีแก้
- 11 สารบัญ
ดินเปรี้ยว/ดินเค็ม เป็นอย่างไร เเก้ไขอย่างไร?
Keywords searched by users: ดินเค็มภาษาอังกฤษ: การแปลและความหมายในวิธีง่ายๆ ดินเค็มเกิดจากอะไร, ดินเค็ม วิธีแก้, Alkaline soil
ความหมายของดินเค็ม
ความหมายของดินเค็มคืออะไร?
ดินเค็มคือประเภทของดินที่มีเกลือละลายอยู่ในสารละลายดินในปริมาณมากกว่าปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของพืช [1]. ดินเค็มมักเกิดจากน้ำใต้ดินที่มีสารละลายเกลือมากเกินไป ทำให้ดินในบริเวณนั้นมีความเค็มสูง ซึ่งส่งผลให้พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ ลำต้นของพืชอาจแคระแกร็น และผลผลิตที่ได้ก็จะมีปริมาณน้อยลง เนื่องจากธาตุอาหารในดินขาดความสมดุล และพืชยังต้องเผชิญกับความเป็นพิษจากโซเดียมและคลอไรด์ที่อยู่ในดิน [2].
วิธีการสังเกตดินเค็ม
- บริเวณที่ไม่ห่างจากฝั่งทะเลมากนักและเคยเป็นพื้นที่ที่ถูกน้ำทะเลท่วมถึงมาก่อน [2].
- พบพืชที่สามารถทนเค็มได้ดีขึ้นอยู่บนพื้นที่ดินเค็ม เช่น ชะคราม จาก แสม โกงกาง ลำแพน ลำพูน เหงือกปลาหมอ หนามแดง หญ้าทนเค็มบางชนิด [2].
- บนผิวดินมักพบคราบเกลือสีขาวหรือเนื้อดินฟุ้งกระจาย เมื่อเปียกน้ำจะพองตัว เนื่องจากดินมีเกลือโซเดียมคาร์บอเนตสูง บางแห่งเป็นดินแน่นทึบไม่มีพืชขึ้นอยู่เลย [2].
- พืชที่ปลูกบริเวณดินเค็มจะตายเป็นหย่อม ๆ อาการของพืชที่ได้รับผลกระทบจากดินเค็มปรากฏให้เห็นซึ่งเกิดจากผลของความเค็ม เช่น ขอบใบจะไหม้ พืชแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโต [2].
- ชิมดินและน้ำ เมื่อมีรสกร่อยแสดงว่ามีอันตรายต่อพืช หรือน้ำเปลี่ยนสีเป็นสความหมายของดินเค็มคืออะไร?
ดินเค็มคือปัญหาที่พบได้ในการเกษตรและการเจริญเติบโตของพืชอย่างแพร่หลายในทั่วโลก ดินเค็มเกิดจากการสะสมของเกลือในดินที่มากเกินไป ซึ่งส่งผลต่อความสมดุลของธาตุอาหารในดินและการดูดน้ำของพืช ทำให้พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ และมีผลผลิตที่ต่ำลง [1].
วิธีการสังเกตดินเค็ม
- บริเวณที่ไม่ห่างจากฝั่งทะเลมากนักและเคยเป็นพื้นที่ที่ถูกน้ำทะเลท่วมถึงมาก่อน [2].
- บริเวณพื้นที่ดินเค็มมักมีพืชที่สามารถทนเค็มได้ดีขึ้นอยู่ เช่น ชะคราม แสม โกงกาง ลำแพน ลำพูน เหงือกปลาหมอ หนามแดง หญ้าทนเค็มบางชนิด [2].
- บนผิวดินมักพบคราบเกลือสีขาวปรากฏอยู่บนผิวดินเป็นหย่อม ๆ หรืออาจพบเนื้อดินฟุ้งกระจาย เม็ดดินแตกสลาย เมื่อเปียกน้ำจะพองตัว เนื่องจากดินมีเกลือโซเดียมคาร์บอเนตสูง บางแห่งเป็นดินแน่นทึบไม่มีพืชขึ้นอยู่เลย [2].
- พืชที่ปลูกบริเวณดินเค็มจะมีอาการตายเป็นหย่อม ๆ อาการของพืชจะปรากฏให้เห็นซึ่งเกิดจากผลของความเค็ม เช่น ขอบใบจะไหม้ พืชแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโต [2].
- ชิมดินและน้ำ เมื่อมีรสกร่อยแสดงว่ามีอันตรายต่อพืช หรือน้ำเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล [2].
วิธีการแก้ไขดินเค็ม
การจัดการปัญหาดินเค็มมีหลายวิธี และขึ้นอยู่กับสภาพและลักษณะของดินในแต่ละพื้นที่ ดังนั้น การแก้ไขดินเค็มควรจะเป็
Learn more:
สมบัติและลักษณะของดินเค็ม
สมบัติและลักษณะของดินเค็ม
ดินเค็ม (saline soils) เป็นประเภทของดินที่มีความเค็มสูง ซึ่งส่งผลให้เกิดพิษต่อพืช ดินเค็มมักพบคราบผลึกเกลืออยู่ที่ผิวดิน และมีค่าปฏิกิริยาดินน้อยกว่า 8.5 [1] ดินเค็มมีค่าการนำไฟฟ้ามากกว่า 4 เดซิซีเมนต์ต่อเมตร ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส [1] นอกจากนี้ ดินเค็มยังมีค่าร้อยละโซเดียมที่แลกเปลี่ยนได้น้อยกว่า 15 หรือมีค่าอัตราส่วนการดูดซับโซเดียมน้อยกว่า 13 [1].
ลักษณะของดินเค็มมักจะแตกต่างไปตามพื้นที่และสภาพแวดล้อม ดินเค็มมักมีสีขาวหรือเทา และมีลักษณะเป็นเม็ดขนาดเล็ก โดยมีความแน่นที่สูง ดินเค็มมักมีความชื้นน้อยและมีความแห้งและแข็งตลอดเวลา นอกจากนี้ ดินเค็มยังมีกลิ่นเค็มเป็นพิเศษ [1].
การเกิดดินเค็มส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น การระบายน้ำไม่ดี การใช้น้ำที่มีความเค็มสูงในการเกษตรกรรม และการใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีที่มีความเค็มสูง [1].
ผลกระทบของดินเค็มต่อพืชมีความหลากหลาย พืชที่ประสบปัญหาจากดินเค็มมักมีการเจริญเติบโตช้าลง ใบพืชอาจมีสีเหลืองหรือสลดลง และผลผลิตที่ได้มีคุณภาพต่ำลง [1].
สำหรับการจัดการดินเค็ม เราสามารถทำได้โดยการใช้วิธีการชดเชยความเค็มในดิน เช่น การใช้น้ำจืดในการรดน้ำเพื่อล้างความเค็มออกจากดิน การใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีที่มีความเค็มต่ำ และการปรับปรุงการระบายน้ำในพื้นที่ [1].
Learn more:
สาเหตุที่เกิดดินเค็ม
สาเหตุที่เกิดดินเค็ม
ดินเค็มเกิดขึ้นเนื่องจากการสะสมของเกลือในดิน ซึ่งเกลือประกอบด้วยธาตุที่มีประจุบวกเช่นโซเดียม (Na+) แมกนีเซียม (Mg2+) และแคลเซียม (Ca2+) รวมกับธาตุที่มีประจุลบเช่นคลอไรด์ (Cl-) ซัลเฟต (SO42-) ไบคาร์บอเนต (HCO3-) และคาร์บอเนต (CO32-) [1].
สาเหตุที่เกิดดินเค็มสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทได้ดังนี้:
-
การขึ้นลงของน้ำทะเล: สภาพภูมิอากาศและการขึ้นลงของน้ำทะเลสามารถเป็นสาเหตุให้เกิดดินเค็มได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อยู่ใกล้ฝั่งทะเล น้ำทะเลที่ขึ้นลงมาจะมีเกลือปริมาณมาก ซึ่งจะสะสมในดินและทำให้ดินเค็ม [1].
-
การระบายน้ำไม่เพียงพอ: การระบายน้ำไม่เพียงพอทำให้น้ำที่มีเกลือสะสมในดินไม่สามารถไหลออกไปได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการสะสมของเกลือในดินและทำให้ดินเค็ม [1].
-
การใช้น้ำที่มีเกลือสูง: การใช้น้ำที่มีเกลือสูงในการเพาะปลูกหรือใช้ในการเกษตรกรรมอาจทำให้เกิดการสะสมของเกลือในดิน ซึ่งจะทำให้ดินเค็ม [1].
ผลกระทบของดินเค็ม
ดินเค็มสามารถมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของพืชได้ ซึ่งผลกระทบเหล่านี้สามารถสังเกตได้จากอาการของพืชและสภาพดิน [2]:
- การเจริญเติบโตของพืชที่ชะงัก: พืชที่ปลูกในดินเค็มอาจมีการเจริญเติบโตช้าลง ลำต้นอาจแคระแกร็นและให้ผลผลิตต่ำ เนื่องจากธาตุอาหารในดินขาดความสมดุล และพืชขาดน้ำจากความเป็นสาเหตุที่เกิดดินเค็ม
ดินเค็มเกิดขึ้นเนื่องจากการสะสมของเกลือในดิน โดยส่วนใหญ่เกลือที่พบในดินเค็มประกอบด้วยโซเดียม (Na) และคลอไรด์ (Cl) [1]. สาเหตุที่เกิดดินเค็มสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทได้ดังนี้:
-
การขึ้นลงของน้ำทะเล: สภาพภูมิประเทศที่ติดชายทะเลหรือทะเลเค็มมีโอกาสเกิดดินเค็มสูง เนื่องจากน้ำทะเลที่มีเกลือสูงสามารถเข้าสู่บริเวณดินได้ผ่านทางน้ำฝนหรือน้ำท่วม [1].
-
การระบายน้ำไม่เพียงพอ: การระบายน้ำไม่เพียงพอทำให้น้ำที่มีเกลือสูงสะสมในดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำช้า หรือมีการระบายน้ำผิดวิธี [1].
-
การใช้น้ำเค็มในการเกษตรกรรม: การใช้น้ำที่มีเกลือสูงในการเพาะปลูกพืชอาจทำให้เกิดการสะสมของเกลือในดิน [1].
-
การใช้ปุ๋ยเคมีที่มีเกลือสูง: การใช้ปุ๋ยเคมีที่มีเกลือสูงในปริมาณมากอาจทำให้เกิดการสะสมของเกลือในดิน [1].
ผลกระทบของดินเค็ม
ดินเค็มส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของพืชอย่างมีนัยสำคัญ [2]. พืชที่ปลูกในดินเค็มอาจไม่สามารถดูดธาตุอาหารที่จำเป็นในการเจริญเติบโตได้เต็มที่ ทำให้พืชเจริญเติบโตช้าลง ไม่สามารถออกดอกและออกผลได้ดี และมีโอกาสตายได้ [2]. นอกจากนี้ ดินเค็มยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำในพื้นที่นั้น ๆ โดยทำให้น้ำในบริเวณดินเค็มเป็นน้ำเค็ม [2].
การจัดการดินเค็ม
การจัดการดินเค็มเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้อ
Learn more:
ผลกระทบของดินเค็มต่อพืชและการเกษตร
ผลกระทบของดินเค็มต่อพืชและการเกษตร
ดินเค็มเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการปลูกพืชและการเกษตรอย่างมาก [1]. ดินเค็มมีปริมาณเกลือที่ละลายได้ในสารละลายดินมากเกินไป ทำให้เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหารในดินและเกิดความเป็นพิษของธาตุโซเดียมและคลอไรด์ [1]. ผลกระทบของดินเค็มต่อพืชและการเกษตรได้แก่การเจริญเติบโตของพืชที่ไม่ดี ลำต้นแคระแกรน และการเสื่อมสภาพของดิน [1].
นอกจากนี้ ดินเค็มยังส่งผลกระทบต่อการระบายน้ำในดิน ทำให้เกิดปัญหาในการระบายน้ำและการชะล้างเกลือออกจากดิน [2]. ดินเค็มที่มีปริมาณโซเดียมสูง จะทำให้การระบายน้ำเป็นไปได้ยากขึ้น และเกิดการสะสมเกลือในดิน [2]. นอกจากนี้ ดินเค็มยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพของดิน ทำให้ดินแน่นทึบ น้าซึมผ่านได้ยาก และเกิดการฟุ้งกระจายได้ง่าย [2].
การแก้ไขปัญหาดินเค็ม
เพื่อแก้ไขปัญหาดินเค็ม จำเป็นต้องใช้สารปรับปรุงดินเพื่อเพิ่มความสามารถในการระบายน้ำและลดปริมาณเกลือในดิน [2]. สารปรับปรุงดินที่นิยมใช้ในการแก้ไขปัญหาดินเค็มคือยิปซัม [2]. ยิปซัมเป็นสารที่สามารถละลายน้ำและแทรกซึมลงสู่ดินได้ง่าย ทำให้เกิดการแทนที่โซเดียมในดินและลดปริมาณเกลือในดิน [2]. การใช้ยิปซัมในการปรับปรุงดินมีข้อดีดังนี้:
- ลดปัญหาความเค็มของดิน: ยิปซัมสามารถเข้าไปแทนที่โซเดียมในดินเค็ม ทำให้โซเดียมถูกชะล้างออกจากดินได้โดยง่าย [2ผลกระทบของดินเค็มต่อพืชและการเกษตร
ดินเค็มเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการปลูกพืชและการเกษตรอย่างมีนัยสำคัญ ดินเค็มคือดินที่มีเกลือที่ละลายได้ในสารละลายดินปริมาณมาก ซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหารในดินและเกิดความเป็นพิษของธาตุโซเดียมและคลอไรด์ [1].
ผลกระทบของดินเค็มต่อพืช:
- การเจริญเติบโตของพืชถูกยับยั้ง: พืชที่ปลูกในดินเค็มจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ ลำต้นอาจแคระแกรนและใบพืชอาจเหลืองแห้งได้ง่าย [1].
- การดูดซึมน้ำและธาตุอาหารลดลง: ดินเค็มมีปริมาณเกลือโซเดียมสูง ทำให้พืชไม่สามารถดูดซึมน้ำและธาตุอาหารได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้พืชขาดน้ำและธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต [1].
- ความเค็มสูงทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบราก: การปลูกพืชในดินเค็มสูงอาจทำให้รากพืชถูกทำลายหรือเสียหาย ทำให้พืชไม่สามารถดูดซึมน้ำและธาตุอาหารได้อย่างเต็มที่ [1].
การแก้ไขปัญหาดินเค็ม:
- การใช้ยิปซัม: ยิปซัมเป็นสารปรับปรุงดินที่มีความสามารถในการละลายน้าและแทรกซึมลงสู่ดินชั้นล่างได้ง่าย ทำให้ดินมีความโปร่งและร่วนซุยมากขึ้น สารยิปซัมสามารถลดปัญหาความเค็มของดิน ลดการแน่นทึบหรือการจับตัวเป็นก้อนของดิน และลดการกร่อนหรือการชะล้างพังทลายของหน้าดิน [2].
- การใส่สารปรับปรุงดิน: การใส่สารปรับปรุงดินที่เหมาะสมสามารถช่วยล
Learn more:
วิธีการจัดการดินเค็ม
วิธีการจัดการดินเค็ม
ดินเค็มเป็นปัญหาที่สำคัญในการเกษตรและการเพาะปลูกพืช เนื่องจากสารละลายเกลือในดินทำให้พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ และส่งผลต่อผลผลิตที่ต่ำลง ดังนั้นการจัดการดินเค็มเป็นสิ่งสำคัญที่เกษตรกรควรทำเพื่อให้ดินมีคุณภาพที่ดีและสามารถเพาะปลูกพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้คือวิธีการจัดการดินเค็มที่สามารถนำมาใช้ได้:
-
การช่วยให้น้ำไหลผ่านดิน (Leaching): วิธีนี้เป็นการใช้น้ำให้ไหลผ่านดินเพื่อล้างสารละลายเกลือออกไปจากพื้นที่ที่มีดินเค็ม การใช้น้ำในปริมาณมากจะช่วยล้างเกลือออกไปจากโซนรากของพืช โดยการให้น้ำในปริมาณมากจะช่วยให้เกลือถูกล้างออกไปจากโซนรากของพืช และนำเกลือออกไปในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืช [1]
-
การใช้ปุ๋ยอินทรีย์: การใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นวิธีการที่ดีในการจัดการดินเค็ม เนื่องจากปุ๋ยอินทรีย์ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน และช่วยเพิ่มสารอินทรีย์ในดิน ซึ่งสามารถช่วยลดความเค็มในดินได้ [2]
-
การใช้ปุ๋ยเคมี: การใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อปรับสภาพดินเค็มเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพ โดยปุ๋ยเคมีที่ใช้บ่อยคือปุ๋ยเคมีที่มีส่วนประกอบของโปแตสเซียม (Potassium) ซึ่งช่วยลดความเค็มในดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน [1]
-
การใช้เทคนิคการเพาะปลูกพืชที่ทนทานต่อความเค็ม: การเลือกใช้พืชที่มีความทนทานต่วิธีการจัดการดินเค็ม
ดินเค็มเป็นปัญหาที่สำคัญในการเกษตรและการเพาะปลูกพืช เนื่องจากสารละลายเกลือในดินทำให้พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ และส่งผลต่อผลผลิตที่ต่ำกว่าความคาดหวัง ดังนั้นการจัดการดินเค็มเป็นสิ่งสำคัญที่เกษตรกรควรทำเพื่อให้พืชเจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี ดังนี้คือวิธีการจัดการดินเค็มที่สามารถนำมาใช้ได้:
-
การช่วยให้น้ำไหลผ่านดิน (Leaching): วิธีนี้ใช้ในการล้างสารละลายเกลือออกจากดิน โดยการให้น้ำไหลผ่านดินในปริมาณมากเพื่อล้างเกลือออกไป การใช้วิธีนี้ควรใช้น้ำที่มีคุณภาพดีและมีปริมาณเพียงพอ และควรให้น้ำไหลผ่านดินในระยะเวลาที่เหมาะสม [1]
-
การใช้ปุ๋ยอินทรีย์: การใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นวิธีที่ดีในการปรับปรุงคุณภาพดิน เนื่องจากปุ๋ยอินทรีย์สามารถช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและเพิ่มความสามารถในการเก็บรักษาความชื้นของดินได้ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาดินเค็มได้ [2]
-
การใช้ปุ๋ยเคมี: การใช้ปุ๋ยเคมีที่มีสูตรเหมาะสมสามารถช่วยปรับสภาพดินเค็มได้ โดยเฉพาะปุ๋ยที่มีส่วนประกอบของธาตุอาหารที่ช่วยในการลดความเค็มของดิน เช่น ปุ๋ยสูตร NPK ที่มีสูตรที่เหมาะสมสำหรับพืชที่ต้องการ [2]
-
การใช้วิธีการเพาะปลูกที่เหมาะสม: การเลือกใช้วิธีการเพาะปลูกที่เหมาะสมสำหรับดินเค็ม เช่นการใช้ระบบน้ำหยดหรือระบบน้ำฝนเทียมในการให้น้ำแก่พืช เพื่อ
Learn more:
การวัดและประเมินความเค็มของดิน
การวัดและประเมินความเค็มของดินเป็นกระบวนการที่สำคัญในการปรับปรุงคุณภาพดินและการเพาะปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดินที่มีความเค็มสูง การวัดความเค็มของดินสามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือวัดการนำไฟฟ้าดิน (EC ดิน) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดค่าการนำไฟฟ้าในดิน [1].
การวัดความเค็มของดินโดยใช้เครื่องวัด EC ดินจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเข้มข้นของความเค็มในดิน โดยมีหน่วยความเข้มข้นเป็น dS/m (เดซิซีเมนต์ต่อเมตร) ซึ่งสามารถแปลผลค่า EC ดินได้ตามตารางดังนี้:
- 0 – 2 dS/m: ไม่เค็ม ไม่ส่งผลกระทบต่อพืช [1].
- 2 – 4 dS/m: เค็มเล็กน้อย อาจส่งผลกระทบต่อพืชบางชนิดที่ไวต่อค่าความเค็ม [1].
- 4 – 8 dS/m: เค็มปานกลาง มีผลต่อการเติบโตของพืชหลายชนิด [1].
- 8 – 16 dS/m: เค็มจัด มีผลต่อการเติบโตของพืชส่วนใหญ่ ยกเว้นพืชที่สามารถเติบโตได้ดีกับสภาพเค็ม [1].
-
16 dS/m: เค็มรุนแรง เป็นอันตรายต่อพืชทุกชนิด ยกเว้นพืชบางชนิด เช่น หญ้า เป็นต้น [1].
การปรับปรุงดินเค็มเพื่อการเกษตรมีหลายวิธีที่สามารถนำมาใช้ได้ ดังนี้:
- การใช้อินทรียวัตถุ: การใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในดินช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน ซึ่งจะช่วยในการปรับปรุงคุณภาพดินและลดความเค็ม [1].
- วางแผนปรับพื้นที่และคูระบายน้ำ: การแบ่งพื้นที่เป็นแปลงย่อยและทำคันดินรอบแปลงย่อยเพื่อลดระดับน้ำใต้ดินและเพิ่มการคูระบายน้ำ [1].
- จัดการวัดและประเมินความเค็มของดินเป็นกระบวนการที่สำคัญในการปรับปรุงคุณภาพดินและการเพาะปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดินที่มีความเค็มสูง การวัดความเค็มของดินส่วนใหญ่ใช้เครื่องมือวัดการนำไฟฟ้าดินหรือเครื่องวัด EC ดิน [1] เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงปริมาณเกี่ยวกับความเค็มของดินในหน่วยความเข้มข้นของไฟฟ้า (dS/m)
การวัดความเค็มของดินโดยใช้เครื่องวัด EC ดินมีความสำคัญเพราะสามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการปรับปรุงคุณภาพดินให้เหมาะสมกับการเพาะปลูกพืชในแต่ละชนิด [1]. ค่า EC ดินที่อ่านได้สามารถแปลผลได้ตามตารางดังนี้:
- 0 – 2 dS/m: ไม่เค็ม ไม่ส่งผลกระทบต่อพืช
- 2 – 4 dS/m: เค็มเล็กน้อย อาจส่งผลกระทบต่อพืชบางชนิดที่ไวต่อความเค็ม
- 4 – 8 dS/m: เค็มปานกลาง มีผลต่อการเติบโตของพืชหลายชนิด
- 8 – 16 dS/m: เค็มจัด มีผลต่อการเติบโตของพืชส่วนใหญ่ ยกเว้นพืชที่สามารถเติบโตได้ดีกับสภาพเค็ม
-
16 dS/m: เค็มรุนแรง เป็นอันตรายต่อพืชทุกชนิด ยกเว้นพืชบางชนิด เช่น หญ้า เป็นต้น [1]
การปรับปรุงดินเค็มเพื่อการเกษตรมีหลายวิธีดังนี้:
- การใช้อินทรียวัตถุ: ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด แกลบ ใบไม้แห้ง ฟางข้าว ขี้เลื่อยร่วมกับการไถพรวน [1].
- วางแผนปรับพื้นที่และคูระบายน้ำ: ปรับพื้นที่แล้วแบ่งเป็นแปลงย่อยทำคันดินรอบแปลงย่อยและทำคูระบายน้ำออกไปให้พ้นแปลงเพื่อลดระดับน้ำใต้ดิน [1].
- จัดหา
Learn more:
การปรับปรุงดินเค็มให้เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก
การปรับปรุงดินเค็มให้เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกเป็นกระบวนการที่สำคัญในการเพิ่มคุณภาพของดินที่มีความเค็มสูงเพื่อให้เหมาะสมกับการเพาะปลูกพืชต่างๆ ดินเค็มมีปัญหาที่สำคัญคือมีความเค็มสูงเกินไปทำให้ไม่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพืช แต่การปรับปรุงดินเค็มให้เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกสามารถทำได้โดยใช้วิธีการต่างๆ ซึ่งจะถูกอธิบายต่อไปนี้:
-
การล้างดิน (Leaching): วิธีการนี้เป็นการใช้น้ำในการล้างความเค็มออกจากดิน โดยการรดน้ำให้มีปริมาณมากเพียงพอที่จะล้างความเค็มออกไป น้ำที่ใช้ในการล้างควรมีคุณภาพดีและมีปริมาณเพียงพอที่จะล้างความเค็มออกไป [1].
-
การใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก: การใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและลดความเค็ม ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักมีสารอินทรียวัตถุที่ช่วยให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์และร่วนซุยมากขึ้น นอกจากนี้ ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักยังช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดิน [2].
-
การใช้วิธีการปรับปรุงดินทางเคมี: วิธีการนี้ใช้สารเคมีเพื่อลดความเค็มในดิน สารเคมีที่ใช้บ่อยคือปูน โดยการใช้ปูนช่วยลดความเป็นกรดของดินและเพิ่มความเป็นด่าง ทำให้ดินมีความเป็นด่างมากขึ้นและลดความเค็ม [2].
-
การใช้เทคนิคการเพาะปลูกที่เหมาะสม: เลือกใช้พืชที่มีความทนทานต่อความเค็มสูง เช่น พืชที่เป็นพืชทนทานต่อความเค็ม เช่น ถั่วเขียว ถการปรับปรุงดินเค็มให้เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกเป็นกระบวนการที่สำคัญในการเพาะปลูกพืชในพื้นที่ที่มีปัญหาดินเค็ม ดินเค็มเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ และอาจทำให้พืชตายได้ ดังนั้นการปรับปรุงดินเค็มให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้พืชเจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดีขึ้นได้ [1] [2].
นี่คือขั้นตอนการปรับปรุงดินเค็มให้เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก:
-
วัดค่าความเค็มในดิน: ใช้เครื่องวัดความเค็มในดินเพื่อวัดระดับความเค็มในดิน ซึ่งจะช่วยให้เราทราบถึงระดับความเค็มของดินและปริมาณเกลือที่มีอยู่ในดิน [1].
-
การล้างเกลือในดิน: หลังจากที่วัดค่าความเค็มในดินแล้ว ถ้าพบว่าดินมีความเค็มสูง จะต้องทำการล้างเกลือในดิน โดยการใช้น้ำจืดหรือน้ำจากแหล่งน้ำที่มีความเค็มต่ำมาล้างดิน โดยการรดน้ำให้ดินเต็มพื้นที่และรอให้น้ำซึมผ่านดินและล้างเกลือออกไป [1] [2].
-
การใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก: การใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินเค็ม โดยใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในดินและคลุกเคล้าให้เข้ากัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน [2].
-
การใช้วิธีการระบายน้ำ: การปรับปรุงดินเค็มให้เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกต้องมีการระบายน้ำที่ดี เพื่อให้น้ำซึมผ่านดินได้ดีและลดความเค็มในดิน สามารถท
Learn more:
Categories: อัปเดต 21 ดินเค็ม ภาษาอังกฤษ
ดินเค็ม หรือ saline soil คำว่า saline แปล ว่ามีส่วนผสมของเกลือ หรือมีเกลือปะปนอยู่ ซึ่งดินเค็มก็คือดินที่มีปริมาณเกลือละลายอยู่ในดินมากเกินไป ทำให้ดินขาดน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อพืช ทั้งยังทำให้ธาตุอาหารของพืชไม่มีความสมดุล
See more: blog https://chungcueratown.net/investment
ดินเค็มเกิดจากอะไร
ดินเค็มเกิดจากอะไร
ดินเค็มหรือ Saline Soil เกิดจากดินที่มีปริมาณของเกลือที่ละลายอยู่ในสารละลายดินมากจนเกินไป [1] ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้:
-
การระเหยของน้ำ: เมื่อน้ำฝนหรือน้ำที่มีเกลือละลายไหลผ่านดิน และน้ำไหลไปยังชั้นน้ำบาดาล จะทำให้เกิดการเข้มข้นของเกลือในดิน ซึ่งเมื่อน้ำระเหยจากดิน จะทำให้เกลือคงอยู่ในดินและเกิดการสะสมของเกลือในดินเรื่อยๆ [1]
-
การใช้น้ำเค็มในการเกษตร: การใช้น้ำที่มีความเค็มสูงในการเกษตร อาจทำให้เกิดการสะสมของเกลือในดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการใช้น้ำเค็มในการเกษตรเป็นเวลานาน [1]
-
การใช้ปุ๋ยเคมี: การใช้ปุ๋ยเคมีที่มีปริมาณเกลือสูงในการเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดิน อาจทำให้เกิดการสะสมของเกลือในดิน [1]
-
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การเพิ่มอุณหภูมิและการลดปริมาณน้ำฝน อาจทำให้เกิดการระเหยของน้ำมากขึ้น และเกิดการสะสมของเกลือในดิน [1]
วิธีแก้ปัญหาดินเค็ม
การแก้ปัญหาดินเค็มสามารถทำได้โดยใช้วิธีต่างๆ ซึ่งได้แก่:
-
การใช้น้ำจืดหรือน้ำที่มีความเค็มต่ำในการเกษตร: การใช้น้ำจืดหรือน้ำที่มีความเค็มต่ำในการเกษตร จะช่วยลดปริมาณเกลือในดินและช่วยให้ดินกลับมาสภาพปกติได้ [1]
-
การใช้วิธีการชลประทาน: การใช้วิธีการชลประทาน เช่น การใช้ระบบการระบายน้ำ การรดน้ำให้เดินเค็มเกิดจากอะไร
ดินเค็มหรือ Saline Soil เกิดจากดินที่มีปริมาณของเกลือที่ละลายอยู่ในสารละลายดินมากจนเกินไป [1] ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้:
-
การระเหยของน้ำ: เมื่อน้ำฝนหรือน้ำที่มีเกลือละลายไหลผ่านดิน และน้ำไหลไปยังชั้นน้ำบาดาล จะทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของเกลือในดิน ซึ่งส่งผลให้ปริมาณเกลือในดินเพิ่มขึ้น และเมื่อน้ำระเหยไป จะทำให้เกลือคงอยู่ในดิน และสะสมไว้ในชั้นบนสุดของดิน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการเกิดดินเค็มในพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนน้อย [1]
-
การใช้น้ำในการเกษตร: การใช้น้ำในการเกษตรโดยไม่มีการจัดการให้เกิดการระบายน้ำที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการสะสมของเกลือในดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่มีปริมาณเกลือสูง เช่น น้ำทะเลหรือน้ำบาดาลที่มีเกลือ [1]
-
การใช้ปุ๋ยเคมี: การใช้ปุ๋ยเคมีที่มีปริมาณเกลือสูงในการเพิ่มปริมาณธาตุอาหารให้กับพืช อาจทำให้เกิดการสะสมของเกลือในดิน ซึ่งส่งผลให้เกิดการเคลื่อนที่ของเกลือในดินและเพิ่มปริมาณเกลือในดิน [1]
-
การเคลื่อนย้ายน้ำในดิน: การเคลื่อนย้ายน้ำในดินที่มีปริมาณเกลือสูง อาจทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของเกลือในดินและสะสมเกลือในชั้นบนสุดของดิน [1]
การแก้ปัญหาดินเค็ม
การแก้ปัญหาดินเค็มสามารถทำได้โดยใช้วิธีต่างๆ ซึ่งสามารถปรับปรุงคุณภาพดินและลดปริมาณเกลือในดินได้ ดังนี้:
1
Learn more:
ดินเค็ม วิธีแก้
เรื่อง ดินเค็ม วิธีแก้ เป็นปัญหาที่หลายคนพบเจอเมื่อปลูกพืชหรือทำสวน ดินเค็มหมายถึงดินที่มีปริมาณเกลือสูงเกินไป ซึ่งส่งผลให้พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะมีวิธีแก้ไขที่สามารถนำมาใช้ได้ ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับวิธีแก้ปัญหาดินเค็มอย่างละเอียด โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง [1] [2]
ดินเค็มคืออะไร?
ดินเค็มหมายถึงดินที่มีปริมาณเกลือสูงเกินไป ซึ่งเกลือประกอบด้วยสารเคมีต่างๆ เช่น โซเดียม (Na) และแคลเซียม (Ca) ซึ่งเมื่อมีปริมาณเกลือสูงในดิน จะทำให้พืชไม่สามารถดูดซึมน้ำและอาหารได้อย่างเพียงพอ ทำให้พืชเจริญเติบโตช้าหรือไม่เจริญเติบโตเลย นอกจากนี้ ดินเค็มยังส่งผลให้พืชมีความเสียหายจากการสะสมสารพิษในระยะยาว
วิธีแก้ปัญหาดินเค็ม
1. การล้างดิน (Leaching)
การล้างดินเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณเกลือในดิน วิธีการนี้เป็นการใช้น้ำให้มากพอที่จะล้างเกลือออกจากดิน โดยการรดน้ำให้มากพอที่จะเจือจางเกลือในดิน และให้น้ำไหลผ่านดินไปยังชั้นน้ำใต้ดิน ซึ่งจะช่วยล้างเกลือออกไปจากพื้นที่ที่มีปัญหาดินเค็ม [1]
2. การใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
การใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน เมื่อใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปในดิน จะช่วยเพิ่มปริมาณสารอินทรียวัตถุในเรื่อง ดินเค็ม วิธีแก้ เป็นปัญหาที่หลายคนพบเจอเมื่อปลูกพืชหรือทำสวน ดินเค็มหมายถึงดินที่มีปริมาณเกลือสูงเกินไป ซึ่งส่งผลให้พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะมีวิธีแก้ไขที่สามารถนำมาใช้ได้ ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับวิธีแก้ดินเค็มที่มีประสิทธิภาพ โดยอ้างอิงจากผลการค้นหาในเว็บไซต์ต่างๆ [1][2]
วิธีแก้ดินเค็ม:
-
การล้างดิน (Leaching): วิธีนี้ใช้สำหรับดินที่มีปริมาณเกลือสูง โดยการให้น้ำไหลผ่านดินเพื่อล้างเกลือออกไป วิธีนี้สามารถทำได้โดยการรดน้ำให้มากพอที่จะไหลผ่านดินและออกไปจากพื้นที่ แต่ต้องระวังให้ดินไม่เป็นน้ำขังเพราะอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆได้
-
การใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก: การใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในดินเค็มจะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และปรับปรุงคุณภาพของดินได้ ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักจะช่วยเพิ่มสารอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์และสามารถเก็บเอาไว้ในระยะยาวได้
-
การใช้วิธีการปรับสภาพดิน: วิธีนี้เป็นการปรับปรุงสภาพดินให้เหมาะสมสำหรับการปลูกพืช โดยใช้วิธีการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมีที่เหมาะสม และการใช้วิธีการปรับสภาพดินอื่นๆ เช่น การใช้ปูนขาวหรือปูนมาร์ลเพื่อลดความเป็นกรดของดิน
-
การใช้เทคโนโลยีช่วย: ในบางกรณีที่ปัญหา
Learn more:
See more here: chungcueratown.net
สารบัญ
สมบัติและลักษณะของดินเค็ม
สาเหตุที่เกิดดินเค็ม
ผลกระทบของดินเค็มต่อพืชและการเกษตร
วิธีการจัดการดินเค็ม
การวัดและประเมินความเค็มของดิน
การปรับปรุงดินเค็มให้เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก